1. สิวหัวดำ (Blackheads)
สิวประเภท สิวหัวดำ เป็นสิวอุดตันที่มีลักษณะตุ่มนูน จะเห็นเป็นจุดสีดำ ๆ ซึ่งที่เห็นเป็นจุดสีดำเกิดจากน้ำมัน ทำปฏิกิริยา oxidation กับออกซิเจนในอากาศ เปลี่ยนไขมันเป็นสีดำ จะพบบริเวณทีโซน คือ หน้าผาก จมูก และคาง วิธีการรักษา : ทายารักษาสิวแบบอุดตันโดยเฉพาะ ที่มีส่วนผสมของ Benzoyl Peroxide ซึ่งสามารถช่วยลดการอุดตันได้ เมื่อเปิดรูขุมขนได้ สิวอุดตันก็จะหลุดออกมาได้ง่ายขึ้น และยังสามารถใช้การกดสิวร่วมด้วยค่ะ
2. สิวหัวขาว (Whiteheads)
สิวประเภท สิวหัวขาว จะเป็นสิวอุดตันที่หัวปิดอยู่ มีลักษณะเป็นตุ่มนูน เมื่อลองจับจะเป็นลักษณะเหมือนไตก้อนเล็ก ๆ ซึ่งสิวแบบนี้สามารถพัฒนาไปเป็นสิวอักเสบประเภทอื่น ๆ ได้ ซึ่งสิวแบบนี้สามารถเกิดได้จากการเปลี่ยนแปลงทางฮอร์โมน เครื่องสำอาง รวมไปถึงสกินแคร์ที่มีส่วนประกอบของน้ำมัน
วิธีการรักษา : หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องสำอาง และ สกินแคร์ที่มีส่วนประกอบของน้ำมัน และใช้ยาที่มีส่วนผสมอย่างTretinoin ยากลุ่มกรดวิตามินเอ แต่ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้งาน เพราะอาจเกิดผลข้างเคียงได้
3. สิวเสี้ยน/สิวอุดตัน (Comedone)
สิวประเภท สิวเสี้ยน มีลักษณะเป็นเหมือนเสี้ยนเล็ก ๆ ตามรูขุมขน เกิดจากการสะสมของชั้นขี้ไคลร่วมกับการสะสมของขนอ่อนในรูขุมขนนั้น ทำให้เกิดเป็นสิวเสี้ยนสีขาว ๆ นั่นเองค่า สิวเสี้ยนสามารถเกิดได้ตามรูขุมขนขนาดใหญ่เช่น จมูก คาง หน้าผาก ระหว่างคิ้ว แผ่นหลัง ต้นแขน ต้นขา เป็นต้น
วิธีการรักษา : ควรล้างคราบเครื่องสำอางออกให้สะอาดหมดจด เลือกเครื่องสำอาง หรือ สกินแคร์ที่ไม่มีส่วนประกอบของน้ำมัน แล้วเลือกใช้ยาทาที่ช่วยลดการอุดตัน เช่น ยาทาเบนซิล เพอร์ออกไซด์ หรือยาทาในกลุ่มกรดวิตามินเอ จะช่วยให้สิวเสี้ยนและสิวอุดตันหลุดออกได้ง่ายขึ้น ใช้ร่วมกับการกดสิว ควรพบแพทย์เพื่อเริ่มทายาอย่างถูกต้อง ในปริมาณที่เหมาะสมเท่านั้น หากใช้เยอะเกินไปอาจแพ้และระคายเคืองผิวได้
4. สิวที่มีตุ่มนูนแดง (Papule)
สิวแบบนี้มีลักษณะเป็นตุ่มแดงขนาดเล็ก ไม่มีหัวสิว แถมสิวแบบนี้ยังสามารถพัฒนาเป็นสิวอักเสบได้ด้วยนะ สิวชนิดนี้เกิดจากแบคทีเรียที่ไปอุดตันรูขุมขน ดังนั้นระบบภูมิคุ้มกันของเรา เลยสร้างเซลล์เม็ดเลือดขาวขึ้นมาเพื่อต่อสู้กับแบคทีเรียนี้ เลยทำให้เกิดตุ่มสิวนูนแดง ซึ่งอาจทำให้เกิดการอักเสบขึ้นมาได้จ้า
วิธีการรักษา : สิวที่มีตุ่มนูนแดง เขาจะไม่มีหัวสิวดังนั้นไม่สามารถกดออกได้ ควรใช้ยาที่มีส่วนผสมของ Benzoyl Peroxide ที่มีฤทธิ์ช่วยต้านเชื้อแบคทีเรีย แล้วจากนั้นควรล้างหน้าให้สะอาด เลือกใช้สูตรที่อ่อนโยนต่อผิว หลีกเลี่ยงการสครับผิวหน้าออกไปก่อน เพราะอาจทำให้ผิวระคายเคืองและอักเสบได้
5. สิวอักเสบ (Nodular Acne)
สิวประเภท สิวอักเสบ เมื่อจับแล้วจะรู้สึกเจ็บ สิวอักเสบอาจจะอยู่ได้นานหลายวัน และอาจทำให้เกิดแผลเป็นได้ สาเหตุเกิดจาก มีแบคทีเรียเข้าไปอยู่ในรูขุมขน บวกกับความมันบนผิว ทำให้เกิดการอักเสบรุนแรง ซึ่งมีลักษณะตุ่มสีแดง ไม่มีหัวสิว ขนาดใหญ่
วิธีการรักษา : สิวชนิดนี้ควรพบแพทย์เพื่อรับการรักษา หากรักษาอย่างผิดวิธี อาจทำให้สิวอักเสบรุนแรงมากขึ้นแล้วอาจเกิดเป็นรอยแผลเป็นได้
6. สิวหัวช้าง (Cystic Acne)
ดูจากชื่อก็รู้เลยว่าต้องใหญ่ที่สุดด โดยเริ่มแรกจะเกิดสิวตุ่มแดงเล็กแล้วเริ่มขยายใหญ่เป็นก้อนใหญ่ คล้ายซีสต์ และมีหนองอีกด้วย เกิดขึ้นได้จากการอักเสบอย่างรุนแรงบนผิวเมื่อสัมผัสจะทำให้มีอาการเจ็บปวดมาก เชื่อว่าเป็นสิวที่ไม่มีใครอยากเป็นที่สุดในทั้งหมดนี้ วิธีการรักษา : เป็นสิวชนิดนี้ ควรรีบไปพบแพทย์ด้านผิวหนังโดยเฉพาะ เพราะเป็นสิวที่มีขนาดใหญ่ และเกิดจากการอักเสบอย่างรุนแรง รักษาได้ยาก และอาจกลายเป็นแผลได้
Recent Posts
- ปากทรงต่อมาคือปากทรงเซอร์รี
- เนื้อเยื่อส่วนไหนใช้เสริมจมูกได้บ้าง?
- อาการนอยด์หลังศัลยกรรม
- ปัญหาหลุมสิวรักษาได้ชิลๆด้วย Fractional CO2
- 6 สัญญาณเตือนคนเสริมจมูก! ก่อนซิลิโคนจะทะลุออกมา
- Stemcell หรือ สเต็มซวย !!!
- เทคนิคการดูแลตัวเอง หลังการรักษาฝ้า กระ จุดด่างดำ ให้ได้ผลดี
- ทริคดูแล -รักษาสิวแต่ละแบบ
- คนเนื้อน้อยเสริมหน้าอกได้ไหม ?
- ความเชื่อผิดๆเกี่ยวกับการดูดไขมัน
- "ปากกระจับ” ทรงสวยที่ อีเดนคลินิก?
- “เลเซอร์” ทางลัดของผิวสวย
- “เสริมคาง” แบบไหนเหมาะกับคุณ
- หูกางไม่มั่นใจ แก้ไขได้ไม่ยาก
- อยากหน้าใส “เลเซอร์” ช่วยได้
- ทรงปากที่คนนิยมทำศัลยกรรม
- เตรียมตัวอย่างไร ก่อนทำศัลยกรรมผ่าตัดแก้ไขหูกาง